ประวัติศูนย์การทหารม้า
ศูนย์การทหารม้า เป็นหน่วยที่มีประวัติยาวนาน และได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง มีการปรับปรุงภารกิจ อัตราการจัด รวมทั้งได้เปลี่ยนนามหน่วยให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ ในแต่ละยุคสมัยจากอดีตมาจนถึงนาม “ศูนย์การทหารม้า” ในปัจจุบัน
- ในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ กรมยุทธนาธิการ มีการจัดหน่วย จเรทัพบก และมี พลเอก สยามมกุฎราชกุมาร(เจ้าฟ้าวชิราวุธฯ) เป็น จเรทัพบก แต่งตั้งเมื่อ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๔๖ ซึ่งกิจการ จเรทหารม้า ก็อยู่ในอัตราการจัดนี้ด้วย แต่ไม่ปรากฏตำแหน่ง และการจัดไว้ชัดเจน ต่อมา จเรทัพบก เปลี่ยนชื่อเป็น “กรมจเรทัพบก” มีเจ้าฟ้าวชิราวุธฯ (ร.๖) ยังคงทรงดำรงอยู่ในตำแหน่งนี้ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๐ มีการเปลี่ยนแปลงในทำเนียบกรมยุทธนาธิการ “กรมจเรทัพบก” มีการแบ่งส่วนราชการเป็น จเรทหารราบ และจเรทหารปืนใหญ่ แต่ยังไม่ปรากฏว่า มี “จเรทหารม้า” อยู่ในการแบ่งส่วนราชการนี้อีก ๑
- จนกระทั่งในปี พ.ศ.๒๔๕๑ (ร.ศ. ๑๒๗ ) จึงปรากฏว่ามีการจัดเป็น จเรทหารม้า โดยมี พลตรี พระเจ้า ลูกยาเธอ กรมหมื่นกำแพงเพ็ชร อรรคโยธิน (จเรทหารช่าง) ทำการในหน้าที่ จเรทหารม้า ๒
- ต่อมาวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๕๒ (ร.ศ.๑๒๘) กรมยุทธนาธิการ ได้มีการจัดหน่วยใหม่โดยเปลี่ยน กรมจเรทัพบก เป็น จเรทัพบก และมี จเรทหารม้า เป็นหน่วยขึ้นตรงตามลำดับ โดยมี นายพลเอก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช มกุฎราชกุมาร (ร.๖) ราชองค์รักษ์พิเศษ เป็น จเรทัพบก และมีนายพลตรี พระยาศักดาภิเดชวรฤทธิ์ เป็น จเรทหารราบและเป็นจเรทหารม้า ด้วย ๓
- ในวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เสด็จขึ้นครองราชย์ หลังจากนั้นในวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้ทรงมีพระบรมราชโองการประกาศแก้ไขกิจการทหารใหม่ โดย ยกเลิก กรมยุทธนาธิการเดิม แล้วเปลี่ยนเป็น “กระทรวงกลาโหม” โดยเฉพาะกระทรวงกลาโหม มีการจัดและแบ่งออกเป็น กรม และแผนก ต่าง ๆ รวม ๑๔ หน่วย และมีหน่วยรบอีก ๓ กองทัพ กับอีก ๑ กองพล คือ กองพลที่ ๔ เป็นกองพลอิสระ ในบรรดากรมต่าง ๆ ที่ขึ้นกับกระทรวงกลาโหมนั้น มีการเปลี่ยนจาก จเรทัพบก เป็น กรมจเรทัพบก ซึ่งกรมจเรทัพบก มีหน่วยขึ้นตรงของกรมนี้ แบ่งออกเป็น ๕ แผนก โดยมีการจัดดังนี้ ๔
กรมจเรทัพบก มี จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงษ์เธอ เจ้าฟ้า กรมพระภาณุพันธุวงษ์ วรเดช เป็น จเรทัพบก โดยมีการแบ่งเป็นแผนก คือ ๕
๑. แผนกจเรทหารราบ
๒. แผนกจเรทหารม้า มี นายพลตรี พระยาศักดาภิเดชวรฤทธิ์ (อุ่ม อินทรโยธิน) เป็น จเรทหารม้า
๓. แผนกจเรทหารปืนใหญ่
๔. แผนกจเรทหารช่าง
๕. แผนกจเรทหารสื่อสาร
- ต่อมา ในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๕๕ (ร.ศ.๑๓๑) ได้เปลี่ยนชื่อจาก แผนกจเรทหารม้า เป็น กรมจเรทหารม้า โดยมี นายพลตรี พระยาศักดาภิเดชวรฤทธิ์ เป็นจเรทหารม้า ๖
- ในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๖ มีการเปลี่ยนผู้บังคับบัญชาโดยให้ นายพลตรี พระเทพ อรชุณ เป็น จเรทหารม้า กรมจเรทหารม้า ๗
- และในวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ กระทรวงกลาโหม ได้มีการปรับย้าย นายทหารรับราชการ และ ออก ประจำการ ในกรมจเรทหารราบและกรมจเรทหารม้า คือ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นายพลตรี พระยาเทพอรชุณ ซึ่งดำรงตำแหน่ง จเรทหารราบและจเรทหารม้า เป็น สมุหราชองครักษ์ และให้ นายพลเอก สมเด็จ พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก ทรงเป็นผู้รั้งตำแหน่ง จเรทหารม้า ด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง ๘
- ในวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ ได้มีการเปลี่ยนแปลงจาก กรมจเรทหารม้า ซึ่งเดิมขึ้นกับกระทรวงกลาโหม เป็น แผนกจเรทหารม้า ขึ้นกับ กรมจเรทัพบก และขึ้นกับกระทรวงกลาโหม ตามลำดับ โดยมี จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงษ์เธอ เจ้าฟ้า กรมพระยาภาณุพันธุวงษ์วรเดช เป็น จเรทัพบก และมี นายพลตรี พระยาศักดาภิเดชวรฤทธิ์ (อุ่ม อินทรโยธิน) เป็น จเรทหารราบและจเรทหารม้า ๙
- ต่อมาในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๗ มีการเปลี่ยนนามหน่วยจาก แผนกจเรทหารม้า เป็น กรมจเรการม้าและสัตว์พาหนะทหารบก มี นายพลเอก สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้า กรมหลวง พิษณุโลกประชานาถ (เจ้าฟ้าจักรพงษ์ ภูวนาถ) เป็นผู้รั้ง จเรการม้าและสัตว์พาหนะทหารบก ๑๐
- ในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๐ ได้มีการเปลี่ยนแปลงนามหน่วยอีกจาก กรมจเรการม้าและสัตว์พาหนะทหารบก เป็น กรมจเรสัตว์พาหนะทหารบกและการทหารม้า โดยมี พลโท พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงอดิศรอุดมเดช เป็น จเรสัตว์พาหนะทหารบกและการทหารม้า ๑๑
- กระทรวงกลาโหมได้พิจารณาเห็นว่า กรมพระคชบาล นั้นเป็นกิจการฝ่ายการสัตว์ ควรจะได้โอนกิจการไปอยู่ในหน่วยใดหน่วยหนึ่งที่เหมาะสม จึงได้โอน กรมพระคชบาลไปอยู่กับ กรมจเรสัตว์พาหนะทหารบกและการทหารม้า และได้ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นายพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงอดิศรอุดมเดช ซึ่งเป็นผู้บัญชาการ กรมพระคชบาล อยู่แล้วเป็น จเรสัตว์พาหนะทหารบกและการทหารม้า ๑๒
- ในวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ได้มีการปรับเปลี่ยนผู้บังคับบัญชาโดยให้ พ.ท. พระราญรอนอริราช ทำการแทน นายพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงอดิศรอุดมเดช ในตำแหน่งจเรสัตว์พาหนะทหารบกและการทหารม้า ๑๓
- และในวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๙ ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้บังคับบัญชาอีกตามแจ้งความกระทรวงกลาโหม เรื่องให้นายทหารรับราชการ ด้วยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นายพันเอก หม่อมเจ้าทองฑีฆายุ ทองใหญ่ ผู้ช่วยทูตในราชการทหารบกประจำประเทศอังกฤษ และฝรั่งเศส เป็น จเรสัตว์พาหนะทหารบกและการทหารม้า ส่วน พันโท พระราญรอนอริราช ผู้บังคับการกรมทหารบกม้ารวม ของกองทัพน้อย ทหารบกที่ ๑ ซึ่งทำการแทน จเรสัตว์พาหนะทหารบกและการทหารม้าอยู่ด้วยนั้น คงเป็นผู้บังคับการกรมทหารบกม้ารวม ของกองทัพน้อย ทหารบกที่ ๑ แต่ตำแหน่งเดียว ๑๔
- ต่อมาในวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๑ มีการเปลี่ยนนามหน่วยจาก จเรสัตว์พาหนะทหารบกและการทหารม้า เป็น กรมจเรทหารม้า โดยมี พล.ต.หม่อมเจ้า ทองทีฆายุ เป็นจเรทหารม้า และได้มีการแบ่งเป็น แผนกที่ ๑ , แผนกที่ ๒ และแผนกโรงเรียนทหารม้า ซึ่งมี พ.ท. พระประยุทธอริยั่น เป็น ผู้อำนวยการ แผนกโรงเรียนทหารม้า ๑๕
- ต่อมาในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ จากการจัดเป็น กรมจเรทหารบก โดยมี พ.อ. พระประจนปัจจนึก เป็น จเรทหารบก และมีการจัดหน่วยรอง เป็นแผนกที่ ๑ กรมจเรทหารบก มี พ.ท. พระวิชัยยุทธเดชาคนี (เหล่าราบ) เป็น หัวหน้าแผนก และแผนกที่ ๒ กรมจเรทหารบก มี พ.ท. หลวงรวบรัดสปัตพล (เหล่าม้า) เป็น หัวหน้าแผนก ๑๖
- และในวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๑ แผนกที่ ๒ กรมจเรทหารบก ได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้บังคับบัญชา เป็น พ.ต. ไชย ประทีปะเสน รักษาราชการ หัวหน้าแผนก ๑๗
- ต่อมาในวันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้มีการเปลี่ยนแปลงนามหน่วยอีกจาก แผนกที่ ๒ กรมจเรทหารบก เป็น แผนกทหารม้า กรมเสนาธิการทหารบก โดยมี พ.ท. ไชย ประทีปะเสน เป็น หัวหน้าแผนกทหารม้า ๑๘
- และในวันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ ก็มีการเปลี่ยนแปลงนามหน่วยจาก แผนก ทหารม้ากรมเสนาธิการทหารบก เป็น กรมจเรทหารม้า โดยมี พ.อ. มจ.ชิดชนก กฤดากร เป็น จเรทหารม้า ๑๙
- ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ได้มีการเปลี่ยนจาก กรมจเรทหารม้า เป็น กรมการทหารม้า โดยมี พล.ต.หม่อมเจ้า ชิดชนก กฤดากร เป็น เจ้ากรมการทหารม้า ๒๐
- ในวันที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๖ กรมการทหารม้า ได้ย้ายที่ตั้งจาก กองพยาบาลสัตว์ทหารบก ถนนเศรษฐศิริ ไปเข้าที่ตั้งแห่งใหม่ ถนนพิชัยรณรงค์สงคราม ตำบลปากเพรียว อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี (แต่เดิมเป็นที่ตั้งกองบังคับการกรมทหารราบที่ ๒๑ และกองพันที่ ๒ กรมทหารราบที่ ๒๑ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ ม.พัน ๑๑ รอ.)
- ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทาน ชื่อค่ายว่า "ค่ายอดิศร" เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ พลโท พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงอดิศรอุดมเดช โดย พลตรี หม่อมเจ้าชิดชนก กฤดากร ขณะดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมการทหารม้า เป็นผู้กราบถวายบังคมทูล ฯ ขอพระราชทาน ๒๑ และต่อมามีคำสั่ง กองทัพบกที่ ๑๐๔/๑๑๑๖๒ ลงวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๗ ให้มีการเปลี่ยนแปลงนามหน่วย ซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนจาก กรมการทหารม้า เป็น ศูนย์การทหารม้า
กรมการทหารม้า ถนนพิชัยรณรงค์สงคราม ตำบลปากเพรียว อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี
(แต่เดิมเป็นที่ตั้งกองบังคับการกรมทหารราบที่ ๒๑ และกองพันที่ ๒ กรมทหารราบที่ ๒๑ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ ม.พัน ๑๑ รอ.)
- และในปีเดียวกันนี้ มีการยกเลิกอัตรา กรมยุทธศึกษาทหารบก แล้วใช้อัตรา กรมยุทธศึกษาทหารบกใหม่ จึงยกเลิกอัตรา “กรมการทหารม้า” แล้วใช้อัตราใหม่เป็น “ศูนย์การทหารม้า” ๒๒
- การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกครั้งในปี พ.ศ.๒๔๙๘ มีพระราชกฤษฎีกา จัดวางระเบียบราชการกองทัพบก ในกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๔๙๘ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๘ เป็นปีที่ ๑๐ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรจัดวางระเบียบราชการกองทัพบก ในกระทรวงกลาโหม เสียใหม่ ฯลฯ ๒๓
๒. ส่วนการศึกษา ได้แก่
(๑) กรมยุทธศึกษาทหารบก มีหน่วยขึ้น
ก. ศูนย์การทหารราบ
ข. ศูนย์การทหารม้า
ค. ศูนย์การทหารปืนใหญ่
(๒) โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
(๓) โรงเรียนเสนาธิการทหารบก
- และในปี พ.ศ.๒๕๑๕ ศูนย์การทหารม้า ได้เคลื่อนย้ายที่ตั้งจาก ถนนพิชัยรณรงค์สงคราม ตำบลปากเพรียว มาเข้าที่ตั้งใหม่ ณ ตำบล ปากข้าวสาร อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี ติดถนนพหลโยธินห่างจากกลางเมืองสระบุรีประมาณ ๒ กิโลเมตร ใกล้ถึงทางแยกถนนมิตรภาพ อนึ่งเมื่อ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ( ตำบลปากข้าวสาร ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์การทหารม้านี้ ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น ตำบล ปากเพรียว ตามพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตเทศบาลเมืองสระบุรี ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๑๗ คำสั่งจังหวัดสระบุรี ที่ ส.บ. ๑๙/๑๘๘๕๐ ลง ๑๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๗ )
ลำดับการเปลี่ยนแปลงนามหน่วย ที่เกิดขึ้น
- พ.ศ. ๒๔๕๑ จเรทหารม้า
- พ.ศ. ๒๔๕๓ แผนกจเรทหารม้า (ครั้งที่ ๑)
- พ.ศ. ๒๔๕๕ กรมจเรทหารม้า (ครั้งที่ ๑)
- พ.ศ. ๒๔๕๖ แผนกจเรทหารม้า (ครั้งที่ ๒)
- พ.ศ. ๒๔๕๗ กรมจเรการม้าและสัตว์พาหนะทหารบก
- พ.ศ. ๒๔๖๐ กรมจเรสัตว์พาหนะทหารบกและการทหารม้า
- พ.ศ. ๒๔๗๑ กรมจเรทหารม้า (ครั้งที่ ๒)
- พ.ศ. ๒๔๗๔ ยุบเลิกกรมจเรทหารม้า
- พ.ศ. ๒๔๗๗ แผนกที่ ๒ กรมจเรทหารบก
- พ.ศ. ๒๔๘๔ แผนกทหารม้า กรมเสนาธิการทหารบก
- พ.ศ. ๒๔๙๑ กรมจเรทหารม้า (ครั้งที่ ๓)
- พ.ศ. ๒๔๙๖ กรมการทหารม้า
- พ.ศ. ๒๔๙๗ ศูนย์การทหารม้า
เอกสารอ้างอิง
- ๑ เอกสารศูนย์การทหารม้า จัดพิมพ์ในปี พ.ศ. ๒๕๔๓
- ๒ ทำเนียบ ข้าราชการในกรมทหารบก ร.ศ. ๑๒๗
- ๓ ทำเนียบ ข้าราชการในกรมทหารบก ร.ศ. ๑๒๘,ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๒๖ หน้า ๒๕๘๐ วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๒๘
- ๔ เอกสารศูนย์การทหารม้า จัดพิมพ์ในปี พ.ศ. ๒๕๔๓ , ทำเนียบข้าราชการในกรมทหารบก ร.ศ. ๑๒๘ หน้า ๑๓
- ๕ ทำเนียบข้าราชการกระทรวงกลาโหม วันที่ ๑ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๙ หน้า ๑๐ และเอกสารศูนย์การทหารม้า พ.ศ. ๒๕๑๙ หน้า ๗๘
- ๖ ทำเนียบกระทรวงกลาโหม วันที่ ๑ มีนาคม ร.ศ. ๑๓๑
- ๗ ทำเนียบทหารบก วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๖
- ๘ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๓๐ หน้า ๒๙๗๑ - ๒ วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๔๕๖
- ๙ ทำเนียบกระทรวงกลาโหม วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๕๖
- ๑๐ ทำเนียบทหารบก วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๗
- ๑๑ ทำเนียบทหารบก วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๐ , ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๓๔ หน้า ๑๘๗๖ – ๑๘๗๗ วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๐
- ๑๒ ทำเนียบทหารบก วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๗
- ๑๓ ทำเนียบทหารบก วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๘
- ๑๔ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๔๓ หน้า ๑๒๖๘ ลงวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๙
- ๑๕ ทำเนียบทหารบก ตอนที่ ๑ วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๑
- ๑๖ ทำเนียบทหาร ตอนที่ ๑ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ หน้า ๒๕ – ๒๖
- ๑๗ ทำเนียบทหาร ตอนที่ ๑ วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๑ หน้า ๖๑
- ๑๘ ทำเนียบทหาร ตอนที่ ๑ วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๔ หน้า ๗๐
- ๑๙ ทำเนียบกองทัพบก ลับ (เฉพาะเจ้าหน้าที่) ตอนที่ ๑ วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ หน้า ๓๓
- ๒๐ ทำเนียบกองทัพบก ปกปิด ส่วนกลางและส่วนการศึกษา พ.ศ. ๒๔๙๖ เล่มเลขที่ ๑๙
- ๒๑ แจ้งความกองทัพบก ที่ ๒๔/๑๔๕๘๑ ลงวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๔๙๖ เรื่อง พระราชทานชื่อค่าย กรมการทหารม้า
- ๒๒ คำสั่ง กระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ ๔๔/๑๒๒๙๑ เรื่อง แก้อัตรากองทัพบก ๙๑ ครั้งที่ ๗๔ ลงวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๙๗
- ๒๓ (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๗๒ ตอนที่ ๑๙ ๘ มีนาคม ๒๔๙๘ หน้า ๓๑๑)